ในช่วงศตวรรษที่ 19 จนถึงปัจจุบัน วงการวิทยาศาสตร์ ค้นพบสิ่งใหม่ๆซึ่งเป็นพื้นฐานความคิดที่ใช้ต่อยอดให้กับนวัตกรรมและเทคโนโลยีใหม่ๆในปัจจุบัน เราจะมาย้อนดูการค้นพบและเหตุการณ์ทางวิทยาศาสตร์กับ 13 ภาพประวัติศาสตร์ของวงการวิทยาศาสตร์
1. Galloping Horse ถ่ายโดย Eadweard Muybridge ในปี ค.ศ. 1878
จะว่าเป็นสารคดีเรื่องแรกของโลกก็ได้ เพราะเป็นภาพที่ถ่ายจากกล้อง 12 ตัว โดยผู้ถ่ายจงใจถ่ายการขี่ม้าซึ่งกำลังเคลื่อนที่ออกมาเป็นภาพนิ่งจากนั้นก็นำมาฉายจนเกิดเป็นภาพยนตร์ ขอบอกว่ากล้องในยุคนั้นถ่ายอะไรที่อยู่นิ่งยังยากเลย พี่แกเล่นถ่ายม้าที่กำลังเคลื่อนที่ได้ซะงั้น ต้องยอมรับว่าพี่แกสุดยอดจริงๆ
2. Milkdrop Coronet ถ่ายโดย Harold Edgerton ในปี ค.ศ. 1931
ภาพนี้เป็นภาพแรกที่ถ่ายด้วยกล้องที่มี speed shutter และ speed film สูง(ในยุคนั้นนะ) ซึ่งกล้องที่ถ่ายสร้างขึ้นโดย M.I.T. ซึ่งถ่ายไว้เพื่อศึกษา กลศาสตร์ของไหล
3. Everest ถ่ายโดย Sir Edmund Hillary ในปี ค.ศ. 1953
ยอดเขา Everest เป็นยอดเขาที่สูงที่สุดในโลก ซึ่งเกินขีดจำกัดของมนุษย์ที่จะไปได้ถึง ดังนั้นใครในยุคนั้นได้ไปคงคิดว่าโกหกแน่นอน หลักฐานชิ้นเดียวที่จะพิสูจน์ตัวเองได้คือ รูปถ่ายซึ่ง Sir Edmund Hillary และ Tenzing Norgay จัดได้ว่าเป็นกลุ่มคนแรกที่ไปถึง เพราะมีรูปถ่ายยืนยัน แต่กันหน้านี้มีกลุ่มคนเคยไปถึงยอดเขาแล้วและถ่ายรูปไว้แต่ขากลับลงมาทำกล้องหาย ทำให้ไม่มีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ว่าไปถึงจริงๆ
4. First Satellite Picture ถ่ายโดย NASA ในปี ค.ศ. 1959
ในยุคของสงครามเย็นสองขั้วอำนาจอย่างโซเวียตและอเมริกาช่วงชิงอำนาจกันแต่ไม่ใช่การทำสงครามนองเลือดแต่เป็นเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ซึ่งโซเวียตและอเมริกาแข่งขันกันในเรื่องของอวกาศ ดาวเทียมดวงแรกของโลกเป็นของโซเวียตที่ส่งดาวเทียม Sputnik 1 ในปี 1957 ไปโครจรรอบโลกได้สำเร็จและในปีถัดมาอเมริกาก็ได้ส่งดาวเทียม Explorer 1 ขึ้นไปโคจรรอบโลกเช่นกัน และภาพที่ได้จากดาวเทียม ภาพแรกของโลกกลับเป็นของอเมริกาถ่ายโดยดาวเทียม Explorer 6 ซึ่งในภาพเบลอที่ถ่ายติดก้อนเมฆกลางมหาสมุทรแปซิฟิคและเป็นที่มาของโครงการที่รายงานสภาพอากาศ
5. First Human X-ray ถ่ายโดย Wilhelm Roentgen ในปี ค.ศ. 1896
ภาพนี้ได้มาจากการสังเกตของ Wilhelm Roentgen เกี่ยวกับการเรืองแสงของสาร Barium Platinocyanide ซึ่งปล่อยรังสี X-ray ออกมา และเขาได้ใช้มือของภรรยาตัวเองในการทดลอง ซึ่งจะเห็นแหวนแต่งงานอยู่ในภาพด้วย ซึ่งภาพนี้ทำให้เขาได้รับรางวัลโนเบลสาขาฟิสิกด้วย
6. Iron Lung Polio Patients ไม่ทราบผู้ถ่าย ในปี ค.ศ. 1950
เครื่องมือในภาพเป็นเครื่องช่วยหายใจของคนที่เป็นโรค Polio ซึ่งมีนับพันเครื่อง โดยโรคนี้จะเกิดกับเด็กและปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโรคนี้ได้แล้วและบังคับให้เด็กทุกคนต้องได้รับวัคซีนโรคนี้
7. Exposure 51 ถ่ายโดย Franklin. R. and Gosling, R.G. ในปี ค.ศ. 1952
ในปีนั้นนักวิทยาศาสตร์ต่างแข่งขันกันที่จะค้นพบการถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งในวิทยาลัยคิงมีนักวิทยาศาสตร์กำลังวิจัยเรื่องนี้อยู่ ซึ่งการค้นพบในครั้งนี้เริ่มจาก Rosalind Franklin เป็นผู้ศึกษาเกี่ยวกับกับรังสี X-ray ซึ่งต่อมา James Watson และ Francis Crick ใด้ใช้รังสีในการค้นพบ DNA ว่าเป็นเกลียวคู่ และต่อมาในปี 1958 Rosalind Franklin เสียชีวิตเนื่องจากได้รับรังสีมากเกินไปซึ่งเกิดจากงานที่เธอทำเอง และต่อมาในปี 1962 ทั้งสามคนก็ได้รับรางวัลโนเบลร่วมกัน
8. The Integrated Circuit ถ่ายโดย Robert Noyce ในปี ค.ศ. 1959
รูปนี้เป็นแผงวงจรอิเล็กทรอนิคแผงแรกของโลก ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนของวงการอิเล็กทรอนิคจากเดิมเคยให้หลอดแก้วสูญญากาศ และเป็นที่มาของการสร้างคอมพิวเตอร์ในยุคปัจจุบันด้วย
9. Digital Imaging ถ่ายโดย Russell A. Kirsch ในปี ค.ศ. 1957
กล้องถ่ายรูปและคอมพิวเตอร์ถูกรวมกันเมื่อ Russell A. Kirsch ได้สร้างรูปที่ถ่ายด้วยระบบคอมพิวเตอร์รูปแรก หรือที่รู้จักกันก็คือ รูปดิจิตอล
10. How Life Begins ถ่ายโดย Lennart Nilsson ในปี ค.ศ. 1965
เป็นภาพที่ Lennart Nilsson ถ่ายให้กับนิตยาสาร LIFE ซึ่งเป็นาพที่ถ่ายทารกในครรภ์ที่ชัดที่สุด และเขายังถ่ายอวัยวะภายในของมนุษย์ไว้มากมายและเก็บไว้เป็น Portfolio
11. Earthrise ถ่ายโดย William Anders ในปี ค.ศ. 1968
ถาพนี้เป็นภาพประวัติศาสตร์ของมวลมนุษยชาิเลยก็ว่าได้เพราะถ่ายจากยาน Apollo 8 ซึ่งเป็นภาพที่ถ่ายโลกจากดวงจันทร์ ซึ่งอีกหนึ่งพี่มนุษย์คนแรกก็สามารถไปเยือนดวงจันทร์ได้
12. Challenger ถ่ายโดย Michelle McDonald ในปี ค.ศ. 1986
ภาพนี้เป็ภาพที่ชาวอเมริกันต้องเสียใจเนื่องจากเป็นภาพที่ยาน Challenger ระเบิดขณะกำลังปล่อยยานได้เพียงแค่ 73 วินาที ซึ่งก่อนยานทั้ง 24 ลำที่ปล่อยขึ้นสู่อวกาศปลอดภัยทั้งขาไปและขากลับเลย
13. The Pencil Nebula ถ่ายโดย NASA & The hubble Heritage Team ในปี ค.ศ. 2003
ภาพนี้เป็นภาพที่เปลี่ยนโลกเลยก็ว่าได้เพราะ สามารถถ่ายเนบิวลาที่อยู่ไกลจากโลกถึง 11,000 ปีแสงซึ่งทำให้เราสามารถศึกษาประวัติศาสตร์ของเอกภพได้จนถึงปัจจุบันนี้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น